พักยก - Pakyok

ต้นกำเนิดมวยไทย pakyok นั้นเกิดมากจากสมัยสงครามสมัยก่อน ซึ่งไม่เหมือนกับมวยไทยในยุคปัจจุบันที่ใช้เป็น กีฬา ระหว่างคนสองคน โดยสมัยก่อนนั้น จะไปฝึกกันที่สำนักมวย หรือ คล้าย ๆ กับค่ายมวยในปัจจุบัน แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ สำนักมวยนั้น จะมีเจ้าสำนัก ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพ ยำเกรง และมีชื่อเสียงในวงการอย่างมาก โดยท่านเจ้าสำนักจะเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาที่ตนมี จากรุ่นสู่รุ่น ให้กับเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายได้สืบทอด กันมาเป็นรุ่นๆ  เพื่อให้วิชามวยเหล่านั้น ไม่สูญหายไป นอกจากนี้ ถ้าแบ่งสำนักมวยในสมัยก่อน จะสามารถแบ่งได้ 4 สำนักใหญ่ ๆ ได้แก่

1. สำนักทางภาคเหนือ หรือ รู้จักกันในนาม “สำนักมวยเสา”

   สำนักมวยทางภาคเหนือ จะขึ้นชื่ออย่างมาก ในกระบวนท่าที่เน้นการโจมตีคู่ที่สู้ที่รวดเร็ว เนื่องจากทางภาคเหนือ ผู้คนรูปร่างขนาดเล็ก รวมถึงสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขา ทำให้ผู้คนนั้นมีความยืดหยุ่นสูง รวมถึงรูปร่างที่ปราดเปรียวทำให้ เกิดวิชามวยเสาขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นทางภาคเหนือจะดังไปในทางมวย ที่เน้นด้านความเร็วเป็นหลัก

2. สำนักทางภาคอีสาน หรือ รู้จักกันในนาม “สำนักมวยโคราช”

   สำนักมวยทางภาคอีสาน จะขึ้นชื่ออย่างมาก เรื่องหมัดหนัก ซึ่งเดาไม่ยากใช่ไหมครับ ว่าทำไมหมัดหนัก เนื่องจากทางภาคอีสานบ้านเราจะเป็นการทำเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้การยศาสตร์ของทางภาคอีสานนั้น มีความโดดเด่น เรื่องพละกำลังมากกว่าภาคอื่น ๆ นั่นเอง เลยทำให้สามารถออกอาวุธที่หนักหน่วง เพื่อปราบคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายนั่นเอง

3. สำนักทางภาคกลาง หรือ รู้จักกันในนาม “สำนักมวยลพบุรี”

   สำนักมวยแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องของจังหวะและการดูเชิงมวย ไม่เน้นออกอาวุธโดยไม่เห็นผลลัพธ์ ดังคำกล่าวว่า “มวยฉลาด ต้องมวยลพบุรี” เพราะที่แห่งนี้มีสุดยอดครูมวย มากประสบการณ์อยู่มากมาย ทั้งเคยเป็นทหารในพระมหาราชวัง และทหารเอกก็มีอยู่มาก ดังนั้น คงไม่ต้องแปลกใจที่ครูบาอาจารย์เหล่านี้จะสามารถสอนให้ลูกศิษย์ ลูกหาของท่านเก่งกาจในด้านนี้ได้ไม่ยากเลย

4. สำนักทางภาคใต้ หรือ รู้จักกันในนาม “สำนักมวยไชยา”

   นึกถึงคำว่า “ท่าดีไชยา” ก็ต้องเป็นสำนักทางภาคใต้เท่านั้น เนื่องจากรูปร่างของคนทางภาคใต้ มีขนาดเล็กกว่า ถ้าเทียบกับทั้ง 3 ภาคด้านบน ดังนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงออกแบบวิชา ที่เหมาะกับคนท้องที่ ซึ่งมวยไชยานั้น จะเน้นไปที่การป้องกันตัวเป็นหลัก และเป็นการตอบโต้คู่ต่อสู้ด้วยแรงที่คู่ต่อสู้กระทำต่อเรา โดยการป้องกันนั้น จะเน้นให้คู่ต่อสู้โจมตีเข้ามาที่จุด เข่าหรือศอก เป็นหลัก เพื่อให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บจากแรงของตนเอง และเมื่อมีโอกาส ผู้ที่เรียนวิชามวยไชยามา ก็จะสวนกลับคู่ต่อสู้ ด้วยเข่าและศอก ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงอย่างมาก กลับไปหาคู่ต่อสู้เพื่อเอาชนะนั่นเอง

จากเรื่องราวด้านบนทั้งหมด ทำให้เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “หนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าเสา” พักยก แล้วไปอ่านกันต่อกับมวยต่างประเทศ!

กติกาในการชกมวยไทย

กติกามวยไทย สำหรับสมัยปัจจุบัน ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน และครอบคลุมทุก ๆ เรื่อง ดังนั้นการแข่งขันมวยไทย ในปัจจุบัน นักมวย ต้องสวมนวมขนาด 4 ออนซ์ เท่านั้น และแต่งกายแบบ นักกีฬามวย คือ ต้องสวมกางเกงขาสั้น สวมกระจับ สวมปลอกรัดเท้าหรือไม่ต้องสวมก็ได้ เครื่องราง รวมถึงของขลังผูกไว้ที่ แขนท่อนบนได้ ส่วนเครื่องรางอื่น ๆ นั้น ให้ใส่ได้เฉพาะตอน ที่ร่ายรำไหว้ครู แล้วหลังจากนั้น ให้ถอดออก พอตอนเริ่มทำการแข่งขัน ในการแข่งขันมีกรรมการผู้ชี้ขาด บนเวที 1 คน และมีกรรมการให้คะแนน ข้างเวที 2 คน จำนวนยกทั้งหมด ในการแข่งขันมี 5 ยก ยกละ 3 นาที รวมถึงพักระหว่างยก 2 นาที การแข่งขัน จะถูกแบ่งเป็นรุ่น ตามน้ำหนักตัวของนักมวย เหมือนกับหลักเกณฑ์ของมวยสากล อวัยวะที่ใช้ในการต่อสู้ได้ คือ หมัด เท้า เข่า ศอก เข้าชก เตะ ถีบ ถอง เป็นต้น ได้ทั้งหมดทุกส่วน ของร่างกายโดย ไม่จำกัดที่ที่ชก แม่ไม้มวยไทย ที่มีอันตรายสูงบางท่า ก็ถูกห้ามใช้เด็ดขาด ตัวอย่างเช่น ท่าหลักเพชร เป็นท่าจับขา แล้วหักด้วยการนั่งทับ ณ สนามมวย เป็นต้น

ประโยชน์ของมวยไทย

สำหรับมวยไทยนั้น นอกจากจะ ช่วยพัฒนาการ ทางกาย และช่วยทำให้ ร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง มีสมรรถภาพ สำหรับการปฎิบัติงาน ได้ดี มีทรวดทรง รูปร่างดี มีบุคลิกภาพ ที่ดีเหมาะสม ในการเป็น ผู้นำ มีทรวดทรง สง่างามมาก สมชายชาตรี
มวยไทย ยังช่วยพัฒนาการ ทางอารมณ์ การออกกำลังกาย การฝึกซ้อม การแสดงศิลปะด้านมวยไทย และการแข่งขัน จะพบทั้งความผิดหวัง ยอมแพ้ และความสมหวัง ดีใจ รวมทั้งความเจ็บปวด ในทางด้านร่างกาย ดังนั้น เหล่านักกีฬามวยไทย จึงต้องมีความอดทนที่สุดยอด อดกลั้นที่สุดยอด เป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะสามารถ พัฒนาเป็น นักกีฬามวยไทย ที่ดีได้ นักกีฬามวย ที่มีประสบการณ์กับ การพ่ายแพ้ และการชนะจากการแข่งขันมาก จะมีอารมณ์มั่นคงสูงมาก และมีความเชื่อมั่นตนเองสูงด้วย เช่นกัน